รู้หรือไม่? ป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลด้วย Data Masking พร้อมกำหนดสิทธิ์เข้าถึงได้

ก่อนหน้านี้เราได้ทำความรู้จักกับ Data Masking กันไปแล้ว ที่นี้คุณเคยสงสัยมั้ยว่า ทำไม ข่าวข้อมูลลูกค้ารั่วไหลถึงเกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งอาจมาจาก การที่ให้สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่มากเกินความจำเป็น หรือที่เรียกกันว่า OverPrivileging ซึ่งทำให้พนักงานบางคนหรือแม้แต่ระบบบางส่วน สามารถมองเห็นข้อมูลได้มากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งุเหตุผลนี้แหละจึงกลายเป็นต้นเหตุให้เกิดความเสี่ยงทีเกิดการรั่วไหลของข้อมูลได้โดยไม่ตั้งใจหรือโดยเจตนา การแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน คือการใช้เทคโนโลยี Data Masking เพื่อจำกัดการมองเห็นข้อมูลอ่อนไหวให้เหลือเพียงเท่าที่จำเป็นต่อการทำงานเท่านั้น เพราะข้อมูลมีค่ามหาศาล ทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก ต้องให้ความสำคัญในการปกป้องข้อมูลมาก ๆ วันนี้เราไปดูวิธีการป้องกันข้อมูลไม่ให้รั่วไหลด้วยเทคโนโลยี Data Masking ให้เห็นภาพมากขึ้นกันเลย  

 

การให้สิทธิ์เกินจำเป็น (Over-Privileging) คืออะไร และนำไปสู่ความเสียหายได้ยังไง?

รู้มั้ยคะว่า ภัยเงียบที่น่ากลัวที่สุดอย่างหนึ่งในความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไม่ได้มาจากแฮกเกอร์ภายนอกเสมอไป แต่มาจากปัญหาภายในที่เรียกว่า การให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่มากเกินความจำเป็น หรือ OverPrivileging นั่นเอง ซึ่งเปรียบเหมือนการ ให้กุญแจ ที่ไขสามารถได้ทุกห้อง แก่พนักงานหรือระบบ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาต้องการแค่กุญแจห้องทำงานของตัวเองเท่านั้น ซึ่งการทำแบบนี้ ขัดกับหลักการรักษาความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่เราควรยึดถือ คือ หลักการให้สิทธิ์น้อยที่สุด (Least Privilege) กับพนักงานในองค์กรที่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าได้ ซึ่งกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ใช้ควรได้รับสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เท่าที่จำเป็นต่อการทำงานจริง ๆ เท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากบัญชีผู้ใช้งานนั้นถูกบุกรุกหรือนำไปใช้ในทางที่ผิด 

 

ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อข้อมูลลูกค้าหากไม่กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล

ขอยกตัวอย่างทีมบริการลูกค้า ที่ต้องเห็นข้อมูลสำคัญอย่างข้อมูลเลขบัญชี บัตรประชาชน หรือแม้แต่เบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าโดยตรง การมีสิทธิ์เกินความจำเป็น ถือเป็นความเสี่ยงสูงมาก เพราะมันอาจนำไปสู่ปัญหาเหล่านี้ได้เลย 

  • เห็นข้อมูลที่ไม่จำเป็นต่อการบริการ

สมมติว่าหน้าที่หลักของคุณเอ คือการช่วยลูกค้าตรวจสอบยอดคงเหลือหรือวงเงิน แต่ระบบกลับตั้งค่าให้คุณเอสามารถเห็นข้อมูลส่วนตัวอื่น ทั้งหมด เช่น ประวัติการทำธุรกรรมย้อนหลังหลายปี หรือแม้แต่เลขบัตรเต็มทุกตำแหน่ง ทั้งที่ปกติแล้ เราควรจะเห็นแค 4 ตัวท้ายของบัตรเพื่อยืนยันตัวตนเท่านั้ สิ่งนี้จะทำให้ข้อมูลลูกค้าอยู่ในมือคนจำนวนมากเกินความจำเป็ และเพิ่มความเสี่ยงอย่างมา หากมีการทุจริตหรือเกิดการรั่วไหลได้ง่า เลยล่  

  • สิทธิ์เข้าถึงที่ค้างอยู่

บางครั้งพนักงาน อาจได้รับสิทธิ์เป็นกรณีพิเศษให้เข้าถึงฐานข้อมูลลูกค้าทั้งหมดเป็นการชั่วคราว เช่น เพื่อช่วยหัวหน้าทำโปรเจกต์เร่งด่วน แต่พอจบงานแล้ว สิทธิ์นั้นกลับไม่ได้ถูกยกเลิกไปตามกำหนด สิทธิ์ที่ค้างอยู่นี้ เหมือนเราทิ้งกุญแจสำรองไว้โดยไม่มีใครดูแล ซึ่งเป็นช่องโหว่ชั้นดีที่ผู้ไม่หวังดีจะได้ข้อมูลเหล่านี้ไปเลยค่ะ  

  • ความเสี่ยงจากการใช้ข้อมูลจริงในที่ที่ไม่ปลอดภัย

แม้จะไม่ใช่ทีมบริการลูกค้าโดยตรง แต่เรามักพบว่าทีมพัฒนาระบบ อย่าง IT หรือ Developer ต้องการข้อมูลที่เหมือนจริงเพื่อทดสอบฟังก์ชันหรือบริการใหม่ การนำข้อมูลบัตรหรือข้อมูลลูกค้าตัวเต็ม (Production Data) ไปใช้ในการทดสอบ ซึ่งมักมีการรักษาความปลอดภัยที่น้อยกว่า พื้นที่ในการเก็บข้อมูลที่มีระบบรักษาความปลอดภัยจริง ทำให้ข้อมูลเหล่านั้นเสี่ยงต่อการถูกเจาะหรือรั่วไหลได้ง่ายกว่าเดิมมากค่ะ 

 

จะเห็นเลยว่า การให้สิทธิ์มากเกินไป ทำให้ข้อมูลลูกค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลที่มีผลต่อความปลอดภัยทางด้านชีวิตและทรัพย์สิน หากถูกเปิดเผยและเข้าถึงได้ง่าย โดยคนที่ไม่จำเป็นต้องใช้มัน เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการรั่วไหล การนำไปใช้ในทางที่ผิด หรือการถูกโจมตีทางไซเบอร์จากช่องโหว่ภายในองค์กรได้เลยค่ะ 

 

ข้อมูลรั่วไหลจากคนในองค์กร ผลกระทบที่ตามมาจะรุนแรงและซับซ้อนกว่าที่คิดมาก

 

เมื่อข้อมูลสำคัญรั่วไหลออกไปจากข้างในองค์กรเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดจากการที่เราให้สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลมากเกินความจำเป็น ผลกระทบที่ตามมานั้นจะหนักและเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เราคาดการณ์ไว้มากเลยค่ะทั้ง 

1. ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือเสียหายอย่างหนัก (Reputational Damage)

เมื่อลูกค้ารู้ว่า ข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาหลุดออกไป ความเชื่อมั่นที่เคยมีต่อแบรนด์ของเราก็จะสั่นคลอนอย่างรุนแรง การจะกอบกู้ชื่อเสียงที่เสียหายกลับมาให้เหมือนเดิมนั้น ต้องใช้เวลาและความทุ่มเท รวมถึงงบประมาณที่สูงมาก ๆ ซึ่งไม่อาจจะประเมินได้เลยด้วย 

2. ต้องรับผิดชอบทางกฎหมายและโดนค่าปรับ (Legal Penalties)

ตามกฎหมายของหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่มี พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) การปล่อยให้ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล ถือเป็นความผิดร้ายแรงมาก ๆ เลยทีเดียว องค์กรที่ประมาทและละเลยมาตรการป้องกันจนเกิดข้อมูลรั่วไหล อาจจะต้องรับมือับบทลงโทษ ทั้งทางปกครองและอาญา รวมถึงค่าปรับที่เป็นจำนวนมหาศาลอีกด้วย 

3. มีค่าใช้จ่ายในการแก้ไขสถานการณ์สูงมาก (Incident Response Costs)

ทันทีที่เกิดเหตุข้อมูลรั่วไหล องค์กรจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อหาข้อเท็จจริงและต้นตอของปัญหา แจ้งลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย และในบางกรณีอาจต้องมีการชดเชยความเสียหายให้กับลูกค้าด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ถือว่าสูงมากและเป็นภาระที่หนักองค์กรต้องรับมือให้ได้ 

 

หาทางออกด้วย Data Masking การปกปิดข้อมูลให้เหลือแต่จำเป็นต้องรู้

Data Masking คือกระบวนการทางเทคนิค ในการสร้างข้อมูลเสมือนจริง เพื่อใช้ในการทำงานหรือทดสอบระบบ แทนที่จะใช้ข้อมูลจริงที่มีความอ่อนไหวสูง หัวใจสำคัญคือ การซ่อนหรือแทนที่ข้อมูลโดยที่ยังรักษารูปแบบ (Format) และคุณสมบัติทางสถิติของข้อมูลไว้ เพื่อให้ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์โดยไม่เปิดเผยข้อมูลจริง ซึ่ง Data Masking ที่นิยมใช้กัน ก็คือ 

  • Static Data Masking (SDM) วิธีนี้จะเป็นการ Mask ข้อมูลอย่างถาวร ในฐานข้อมูลสำเนาเพื่อใช้ในการทดสอบหรือใช้งาน ซึ่งข้อมูลที่ถูก Mask ไปแล้วจะไม่มีทางย้อนกลับมาเป็นข้อมูลจริงได้อีก 
  • Dynamic Data Masking (DDM) เป็นการ Mask ข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Onthefly) แบบต่อวินาทีที่มีการเรียกใช้ข้อมูล โดยแสดงข้อมูลที่ถูก Mask ให้กับผู้ใช้ที่มีสิทธิ์จำกัด ในขณะที่ข้อมูลจริงในฐานข้อมูลยังคงอยู่  

 

มาลองดูตัวอย่างที่เห็นภาพชัดกันอย่างการซ่อนข้อมูลบางส่วนในงานบริการลูกค้ากันเลย

ลองจินตนาการว่าพนักงาน Call Center กำลังเข้าสู่ระบบเพื่อให้บริการลูกค้า ในสถานการณ์ปกติ พนักงานคนนี้จะเห็นข้อมูลเต็มชุดของลูกค้า แต่เมื่อมีการใช้ Dynamic Data Masking เข้ามาจัดการ สิทธิ์ของพนักงานจะถูกจำกัดให้เห็นแค่ข้อมูลเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แต่ว่าระบบจะยังคงแสดง ชื่อ-นามสกุล ของลูกค้าได้ตามปกติเพื่อให้พนักงานเรียกชื่อลูกค้าได้ถูกต้อง แต่ในส่วนของข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ข้อมูลจะถูกปกปิดทันที เช่น  

  • เบอร์โทรศัพท์ ซึ่งข้อมูลจริงคือ 081-123-4567 จะถูก Mask ให้แสดงเพียงแค่ 081-123-XXXX 
  • ลขบัตรประชาชน ซึ่งเป็นข้อมูลระบุตัวตนที่สำคัญมาก จะถูกซ่อนตัวเลขส่วนใหญ่ โดยแสดงเพียงแค่ XXXX-XXXX-X1234  
  • หรือเลขบัตรเครดิต ที่เป็นข้อมูลทางการเงินที่อ่อนไหวที่สุด จะถูกปกปิดทั้งหมด ยกเว้นตัวเลข 4 หลักสุดท้าย โดยแสดงเป็น XXXX-XXXX-XXXX-6789 เท่านั้น 

 

การปกปิดข้อมูลด้วยวิธีนี้ จะไม่ได้ทำให้การทำงานยากขึ้น พนักงานก็ยังคงทำงานได้ตามปกติเพื่อระบุตัวลูกค้าและตรวจสอบปัญหาได้ แต่ต่อให้ข้อมูลที่พนักงานเห็นถูกบันทึกภาพหน้าจอหรือรั่วไหลออกไป ข้อมูลสำคัญ เช่น เลขบัตรประชาชนเต็ม หรือเลขบัตรเครดิตเต็ม ก็จะไม่ถูกเปิดเผย ทำให้ความเสี่ยงที่ข้อมูลจะรั่วไหลแล้วเกิดความเสียหายก็ลดลง และไม่อาจจะเกิดขึ้นเลย 

 

ความท้าทายในการนำ Data Masking ไปใช้กับงานจริง

ถึงแม้ว่า เจ้าเทคโนโลยี Data Masking นี้จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก ๆ  แต่การนำไปใช้ก็มีความท้าทายที่องค์กรต้องเตรียมรับมือเหมือนกัน ต่อไปเราจะมาพูดถึงความท้าทายกัน

1. ความถูกต้องและความคงที่ของข้อมูล (Data Integrity and Consistency)

ซึ่งความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด คือ การทำให้ข้อมูลที่ถูก Mask แล้ว ยังคงใช้งานได้จริง และมีความสอดคล้อง (Consistent) กับข้อมูลในฐานข้อมูลอื่น ๆ หากเลขบัตรประชาชนของลูกค้า ถูก Mask ต่างกัน ในฐานข้อมูลการเงินและฐานข้อมูลบริการลูกค้า การทดสอบระบบที่เชื่อมโยงกันก็อาจจะล้มเหลวได้ ดังนั้นการเลือกเทคนิคที่สามารถรักษาความสอดคล้องนี้ได้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก 

2. การจัดการความซับซ้อนของฐานข้อมูล (Complexity of Databases)

องค์กรขนาดใหญ่ มักจะมีฐานข้อมูลหลากหลายประเภท เช่น SQL และ NoSQL และมีการเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน การ Masking ต้องทำบนทุกแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างครอบคลุม ซึ่งต้องใช้เครื่องมือที่มีความสามารถในการจัดการฐานข้อมูลหลายรูปแบบด้วย 

3. การระบุข้อมูลอ่อนไหวที่แท้จริง (Identification of Sensitive Data)

ก่อนที่จะ Mask ได้ องค์กรต้องรู้ก่อนว่า ข้อมูลอะไรที่คือข้อมูลส่วนบุคคลทีอ่อนไหว (Sensitive Data) ที่ต้องได้รับการปกป้องบ้ กระบวนการนี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอี และสม่ำเส เพราะข้อมูลอ่อนไหวอาจซ่อนอยู่ในช่องข้อมูลที่ไม่คาดคิด เช่ ในช่องหมายเห หรือข้อความฟรีฟอร เป็นต้น  

4. ต้นทุนและทรัพยากร (Cost and Resources)

การติดตั้งและบำรุงรักษาโซลูชัน Data Masking โดยเฉพาะ Dynamic Masking ที่ทำงานแบบเรียลไทม์ ต้องใช้ทั้งต้นทุนซอฟต์แวร์ เวลาของทีมไอที และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยข้อมูลสูงมาก ๆ  ซึ่งต้องมีการวางแผนงบประมาณ และจัดสรรบุคลากรอย่างรอบคอบที่สุดด้วย 

 

แนวทางการทำ Data Masking ให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด มีอะไรบ้าง

การทำ Data Masking หรือการปกปิดข้อมูลจริง จะประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพสูงสุด องค์กรควรยึดหลักการปฏิบัติที่ดีที่สุด 4 ข้อนี้ ที่จะช่วยให้คุณปกป้องข้อมูลได้อย่างมั่นใจ 

1. ต้องรู้ให้ชัดว่าข้อมูลไหนคือความลับของเรา

ก่อนจะเริ่ม Masking ต้องเริ่มจากการ จำแนกประเภทข้อมูล (Data Classification) ให้ชัดเจนก่อนค่ะ ว่าข้อมูลไหนคือ P.I.I. (ข้อมูลที่ระบุตัวตนได้), ข้อมูลไหนคือ Sensitive P.I.I. (ข้อมูลส่วนตัวอ่อนไหว), หรือข้อมูลที่เป็นความลับ (Confidential) การทำแบบนี้ จะทำให้คุณรู้ว่าข้อมูลแต่ละประเภทควรใช้เทคนิคการปกปิด (Masking) ในระดับไหน ถึงจะเหมาะสมที่สุด 

2. Mask แล้วต้องเชื่อมโยงกันได้ ไม่ใช่ต่างคนต่างไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Static Masking ที่ใช้สร้างชุดข้อมูลสำหรับทดสอบ (Testing) สิ่งสำคัญ คือการใช้เทคนิคที่ยังคงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล (Referential Integrity) ไว้ได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ ถ้าคุณเปลี่ยนชื่อลูกค้าในตารางแรก ข้อมูลลูกค้ารายนี้ในตารางอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกัน เช่น ตารางคำสั่งซื้อ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นชื่อใหม่เดียวกันด้วย เพื่อให้ระบบที่กำลังทดสอบยังทำงาน และประมวลผลได้ถูกต้องเหมือนจริง 

3. ต้องมั่นใจว่าข้อมูลจะไม่ถูกกู้คืนเป็นข้อมูลจริงได้

สำหรับข้อมูลที่ถูก Masking แบบถาวร (Static Masking) แล้วนำไปใช้ภายนอก คุณต้องตรวจสอบความสามารถในการย้อนกลับ (Irreversibility Testing) อย่างเคร่งครัดด้วย และต้องมั่นใจ 100% ว่าข้อมูลที่ถูกปกปิดไปแล้วนั้น ไม่สามารถถูกกู้คืน หรือแปลงกลับมาเป็นข้อมูลจริงได้อีกเลย องค์กรควรมีการทดสอบเจาะระบบ (Penetration Test) เพื่อยืนยันว่าข้อมูลที่ถูกซ่อนไว้จะปลอดภัยอย่างแท้จริง 

4. ใส่ Data Masking เข้าไปในกระบวนการ DevSecOps เลย

ทำให้การสร้างชุดข้อมูลที่ถูก Mask เป็น ส่วนหนึ่งของวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC) โดยอัตโนมัติ (Automated) ไปเลยค่ะ ไม่ใช่ขั้นตอนที่ต้องมานั่งทำเองทีละครั้ง วิธีนี้จะช่วยให้ทีมพัฒนาได้รับชุดข้อมูลที่ปลอดภัยไปใช้ได้ ทันทีที่ต้องการ ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้นมาก ไม่ต้องเสียเวลามาสร้างชุดข้อมูลด้วยมืออีกต่อไป

ซึ่งถ้าหาก ทำตามหลักการทั้ง 4 ข้อนี้ คุณจะมั่นใจได้ว่าการปกป้องข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลสำคัญด้วย Data Masking นั้น แข็งแกร่ง และ ใช้งานได้จริง ในทุกขั้นตอนการทำงานเลยล่ะ 

 

พร้อมก้าวสู่ความปลอดภัยข้อมูลที่ยั่งยืนหรือยัง

ปัญหาข้อมูลรั่วไหลส่วนใหญ่มักเกิดจากความประมาท หรือ ความจำเป็นที่ทำให้ต้องเปิดเผยมากเกินไป Data Masking คือ กลไกสำคัญที่ช่วยให้องค์กรนำหลักการ Least Privilege ไปปฏิบัติจริงได้สำเร็จ ทำให้ทุกคนสามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติ แต่จำกัดสิทธิ์การมองเห็นข้อมูลอ่อนไหวให้เหลือเพียงกลุ่มคนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในยุคดิจิทัลแบบนี้ เราพร้อมแล้วที่จะช่วยองค์กรของคุณเปลี่ยนความประมาท ให้เป็นความระมัดระวังที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี อย่าปล่อยให้ความเสี่ยงจากการรั่วไหลมาคุกคามอนาคตธุรกิจของคุณ ติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญ Chatcone วันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาเชิงลึกและโซลูชัน Data Masking ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับบริบทและความต้องการขององค์กรคุณโดยเฉพาะ แอดไลน์ที่นี่เลย  

Related Articles

Mourning Ribbon