Data Masking คืออะไร? ทำไมธุรกิจยุคใหม่ถึงต้องให้ความสำคัญ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าข้อมูลสำคัญมาก ๆ ยิ่งในการทำธุรกิจ การที่ธุรกิจไหนมีข้อมูลครอบคลุมกว่าก็จะยิ่งได้เปรียบ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจหลาย ๆ คน ก็ย่อมรู้กันดีว่าการเก็บข้อมูล (Data) เรียกได้ว่าเป็นกุญแจสำคัญสู่การเติบโตของธุรกิจเลยก็ว่าได้ แต่ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านข้อมูลรั่วไหล และการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ก็เป็นความท้าทายที่มองข้ามไม่ได้เลยค่ะ ดังนั้นการจะใช้ข้อมูลให้ปลอดภัยในการพัฒนาธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงของข้อมูล จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้ประกอบการอย่างเราต้องหาคำตอบให้เจอ ซึ่งด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ Data Masking หรือ การปกปิดข้อมูล เข้ามามีบทบาทมากขึ้น และธุรกิจต้องหันมาให้สำคัญเป็นอันดับแรก วันนี้เราไปทำความเข้าใจกันว่า Data Masking คืออะไร แล้วทำไมธุรกิจถึงต้องให้ความสำคัญมาก ๆ กันเลย  

 

Data Masking คืออะไร ? การปกป้องข้อมูลที่คุณต้องรู้

Data Masking คือ วิธีการสร้างข้อมูลขององค์กร หรือข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ในเวอร์ชัที่ไม่ใช่ของจริง แต่ยังคงมีโครงสร้างคล้ายกับข้อมูลจริงทั้งหมด ซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยค่าที่ไม่ใช่ข้อมูลส่วนบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้จริง ลองนึกภาพตามง่าย ๆ นะคะ ว่าคุณมีข้อมูลของลูกค้าที่ละเอียดอ่อนมาก ๆ เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน แทนที่จะเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน Outsource ในการพัฒนาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์เข้าถึงได้ แต่คุณสามารถใช้ Data Masking เพื่อแปลงข้อมูลเหล่านั้น ให้กลายเป็นข้อมูลที่ใช้งานได้ แต่ไม่เป็นอันตราย หัวใจสำคัญของ Data Masking คือ การสร้างข้อมูล ที่ใช้งานได้ สำหรับงานที่ไม่ต้องการข้อมูลจริง เช่น การใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ การทดสอบระบบ หรือการวิเคราะห์ทำการตลาดเพื่อพัฒนาธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกัน ข้อมูลที่ถูกปกปิดนี้จะต้องไม่สามารถย้อนกลับ (NonReversible) ไปสู่ข้อมูลจริงได้เหมือนกับการเข้ารหัส (Encryption) ทำให้แม้ข้อมูลจะรั่วไหลออกไป ผู้ที่เข้าถึงก็ไม่สามารถนำไปใช้ระบุตัวบุคคลได้เลยค่ะ 

 

Data Masking แตกต่างจาก Data Encryption ยังไง?

หลายท่านอาจเกิดความสงสัยว่าแล้ว Data Masking มันเหมือนหรือว่าต่างจากการ Data Encryption (การเข้ารหัส) ยังไงกันนะ จริง ๆ แล้วทั้งสองต่างก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องข้อมูล แต่มีเป้าหมายและการทำงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน มาดูกันว่า 2 ตัวนี้ต่างกันยังไงกัน  

Data Encryption หรือการเข้ารหัส

การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) ก็คือ ระบบป้องกันข้อมูล (Data Security) ชนิดหนึ่งที่ทำงานเหมือนการล็อกกุญแจไฟล์สำคัญของคุซึ่งหลักการง่าย ๆ คือ ข้อมูลของคุณจะถูกเปลี่ยนเป็นรหัสลับ (Cipher) มีเพียงคนที่ถือรหัสที่ถูกต้องเท่านั้น ถึงจะสามารถเปิดและอ่านข้อมูลนั้นได้ ส่วนคนอื่น ๆ จะไม่สามารถเข้าถึงหรืออ่านข้อมูลได้เลย ต่อให้พวกเขาได้ไฟล์นั้นไปก็จริง แต่สิ่งที่เห็นจะเป็นแค่ชุดตัวอักษรที่อ่านไม่รู้เรื่อง เพราะข้อมูลเหล่านั้นถูกเข้ารหัสไว้แล้ว นี่จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพที่สุด ในการรักษาความปลอดภัยข้อมูล ซึ่งองค์กรต่าง ๆ เลือกใช้เพื่อปกป้องเอกสารสำคัญ ๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลเงินเดือน, ข้อมูลลูกค้า หรือแผนงานที่เป็นความลับขององค์กร เป็นต้น 

Data Masking สร้างข้อมูลปลอมเพื่อใช้งานอย่างปลอดภัย

ในทางกลับกัน Data Masking หรือการปกปิดข้อมูล คือกระบวนการสำคัญที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้าง “ข้อมูลปลอม” (Fake Data) สำหรับใช้งานอย่างปลอดภัย โดยข้อมูลปลอมเหล่านี้จะมีรูปแบบและโครงสร้างที่ถูกต้อง เหมือนข้อมูลจริงทุกอย่าง ทำให้ระบบยังสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ค่าในข้อมูลจะไม่สามารถระบุตัวตนของบุคคลจริงได้เลย หัวใจสำคัญของ Data Masking คือคุณสมบัติ ไม่สามารถย้อนกลับ (NonReversible) ได้ ซึ่งหมายความว่า

  • ข้อมูลที่ถูกปกปิดแล้วจะไม่สามารถถูกแปลงกลับไปเป็นข้อมูลจริงได้เหมือนกับการถอดรหัส
  • ทำให้ข้อมูลชุดนี้ ไม่มีค่าสำหรับผู้ไม่หวังดี แม้ข้อมูลปลอมจะรั่วไหลออกไป ก็ไม่สามารถนำไปใช้เพื่อระบุตัวตนหรือสร้างความเสียหายได้ 

 

ทำความเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ การเข้ารหัสจะใช้เพื่อปกป้องข้อมูลจริง คนที่มีรหัสเท่านั้นถึงจะเข้าถึงได้ แต่ Data Masking ใช้เพื่อสร้างข้อมูลทดแทนที่ปลอดภัย สำหรับการใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาสินค้า บริการหรือว่าวางแผนการตลาดเพื่อธุรกิจ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลไดเป็นอย่างดีเลยล่ะ  

 

 

รู้จัก 3 ประเภทหลักของ Data Masking สุดสำคัญ ที่ทุกธุรกิจต้องเลือกใช้ให้ตรงงาน

 

 

การปกป้องข้อมูล (Data Masking) คือหัวใจสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยให้คุณสามารถใช้ชุดข้อมูลจริงสำหรับวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่การผลิต เช่น การทดสอบหรือการวิเคราะห์ โดยที่ข้อมูลสำคัญยังคงปลอดภัย ไม่รั่วไหล ซึ่งเทคนิคการปกปิดข้อมูล (Masking) ก็มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการปกป้องข้อมูลเมื่อไหร่ และที่ไหน เรามาทำความรู้จัก 3 ประเภทหลัก ที่ทุกองค์กรควรพิจารณาเลือกใช้ให้ตรงกับงานกัน 

1. การปกปิดข้อมูลแบบคงที่ (Static Data Masking)

วิธีนี้คือการสร้างสำเนาของข้อมูลจริงขึ้นมา แต่ข้อมูลในสำเนานี้จะถูกปลอมแปลงหรือปกปิดไปแล้ว เช่น เปลี่ยนชื่อจริงเป็นชื่อสมมติ หรือเปลี่ยนเลขบัญชีเป็นเลขอื่นที่ใช้ไม่ได้จริงไปแล้ว เมื่อข้อมูลทดสอบถูกปกปิดและคงที่อยู่แบบนั้นเสมอ ทุกครั้งที่ทำการทดสอบซ้ำ ๆ จะได้ ผลลัพธ์ที่เหมือนเดิมและเชื่อถือได้ ทำให้การทดสอบระบบมีคุณภาพและแม่นยำค่ะ พูดง่าย ๆ คือ มันเหมือนกับการสร้าง “ตัวแสดงแทน” ที่หน้าตาคล้ายข้อมูลจริงแต่ไม่ใช่ของจริง เอาไว้ให้ทีมงานใช้วางแผนหรือทดสอบระบบ โดยไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลลูกค้าจริงจะรั่วไหลออกไปนั่นเองค่ะ 

2. การปกปิดข้อมูลแบบไดนามิก (Dynamic Data Masking)

การปกปิดประเภทนี้จะให้ความปลอดภัยตามบทบาท เมื่อผู้ใช้ต้องการข้อมูลจริง เพื่อตอบสนองต่อคำขอข้อมูล การปกปิดแบบไดนามิกจะ แปลง ปิดบัง หรือบล็อกการเข้าถึง ฟิลด์ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนตามเวลาจริง (realtime) โดยอิงตามบทบาทของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการทางการเงิน จัดการคำขอของลูกค้า ฟิลด์ที่ละเอียดอ่อน เช่น วันเกิด หมายเลขประกันสังคม และคะแนนเครดิตจะถูกปกปิดเอาไว้ ให้เห็นแค่บางส่วน ยกเว้น ว่าเจ้าหน้าที่คนนั้น จะมีสิทธิ์ที่จำเป็นในการขอดูฟิลด์เหล่านั้น

3. การปกปิดข้อมูลแบบทันที (On-the-Fly Data Masking)

การปกปิดข้อมูลแบบทันที คือวิธีที่ช่วยให้ทีมพัฒนาดึงข้อมูลจริงจากระบบที่ใช้งานอยู่ แล้วปิดบังข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อ เบอร์โทร เลขบัตรต่าง ๆ ทันทีในระหว่างที่กำลังคัดลอกข้อมูลไปใช้ในระบบทดสอบ ซึ่งข้อดีคือ ข้อมูลจะถูกปิดบังตั้งแต่ต้นทาง ทำให้มั่นใจได้เลยว่าข้อมูลที่ย้ายไปใช้ จะไม่หลุดออกมาในรูปแบบที่ยังไม่ได้ปกปิดแน่นอน วิธีนี้ช่วยลดขั้นตอนยุ่งยาก เช่น ไม่ต้องเตรียมข้อมูลผ่านระบบกลางก่อนเหมือนแต่ก่อน เหมาะมากกับทีมที่ต้องพัฒนาซอฟต์แวร์แบบรวดเร็วต่อเนื่อง เพราะทำให้เอาข้อมูลไปเทสได้ไว ปลอดภัย และไม่ต้องเสียเวลานานค่ะ 

 

Data Masking สำคัญต่อธุรกิจยุคใหม่ขนาดไหน? ทำไมถึงขาดไม่ได้

สำหรับเจ้าของธุรกิจที่เข้าใจเรื่องความเสี่ยงของฐานข้อมูลลูกค้า บอกเลยว่าการลงทุนใน Data Masking (การปกปิดข้อมูล) คือการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ๆ เพราะมันช่วยให้คุณทำธุรกิจได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัยจากปัญหาทางกฎหมายและรักษาความน่าเชื่อถือเอาไว้ได้ค่ะ 

1. การปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ

นี่คือเหตุผลหลักและเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการที่มีข้อมูลของลูกค้าต้องให้ความสำคัญมาก ๆ  เพราะกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ของไทย, GDPR ของสหภาพยุโรป, CCPA ของรัฐแคลิฟอร์เนีย และมาตรฐานความปลอดภัยข้อมูลอื่น ด้วย กำหนดให้องค์กรต้องปกป้องข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนส่วนบุคคลได้อย่างเข้มงวด ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามแล้วข้อมูลเกิดรั่วไหล ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามมาไม่สามารถประเมินค่าได้เลยนะคะ ึ่งการใช้ Data Masking ช่วยให้คุณสามารถ 

  • ลดขอบเขตความเสี่ยงที่ข้อมูลจะรั่วไหล เมื่อข้อมูลส่วนใหญ่ที่ใช้ในการพัฒนาและทดสอบถูกปกปิดเอาไว้ ธุรกิจคุณก็สามารถยืนยันได้ว่า ตนเองปฏิบัติตามข้อกำหนดครบถ้วนนะ โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลจริงโดยไม่จำเป็น 
  • ปกป้องชื่อเสียงธุรกิจไว้ได้ เพราะการป้องกันข้อมูลรั่วไหลในขั้นตอนที่ไม่ใช่การผลิต จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อชื่อเสียงและความไว้วางใจของลูกค้าได้ 

 

2. มีข้อมูลทดสอบที่รวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องการข้อมูลที่เหมือนจริงมากที่สุดเพื่อทดสอบและวางแผนงานต่าง ๆ และมั่นใจว่าระบบจะทำงานได้ถูกต้องก่อนนำไปใช้งานจริง  

  • คุณภาพการทดสอบที่สู ข้อมูลที่ถูกปกปิดยังคงรักษาคุณสมบัติ โครงสร้าง และความสมบูรณ์ของข้อมูลจริงไว้ ทำให้ได้ผลลัพธ์การทดสอบที่แม่นยำและทำซ้ำได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัย 
  • ความเร็วในการพัฒนา การใช้เครื่องมือ Data Masking แบบอัตโนมัติ ช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถสร้างชุดข้อมูลทดสอบที่ปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมข้อมูลด้วยตนเองเลย 

3. ควบคุมการเข้าถึงตามบทบาทของพนักงาน

แต่ละธุรกิจจะมีการเข้าถึงข้อมูลที่แตกต่างกัน เช่น พนักงานในศูนย์บริการลูกค้า (Call Center Operator), นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst) หรือพนักงานภายนอก (Outsource) การทำ Data Masking ช่วยกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนได้ตามบทบาท ทำให้พนักงานแต่ละคนเห็นเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ซึ่งจะช่วยปกป้องข้อมูลจากภัยคุกคามภายใน ได้เป็นอย่างดี 

 

เทคนิคการปกปิดข้อมูล (Data Masking Techniques) ที่ใช้กันทั่วไป

การปกปิดข้อมูล (Data Masking) เป็นวิธีที่ช่วยให้เราใช้ชุดข้อมูลจริงไปทดสอบระบบ พัฒนาซอฟต์แวร์ หรือวิเคราะห์ข้อมูลได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลส่วนตัวสำคัญ ๆ จะรั่วไหล เทคนิคเหล่านี้จะเปลี่ยนข้อมูลจริงให้กลายเป็นข้อมูลที่ดูคล้ายจริงแต่ ไม่สามารถย้อนกลับไปหาตัวตนจริง ๆ ได้ ซึ่งองค์กรสามารถเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะกับข้อมูลของตัวเองได้เลยค่ะ 

  • การแทนที่ (Substitution) คือเราจะใช้วิธีการแทนที่ข้อมูลดั้งเดิมด้วยค่าอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงจากตารางค้นหา (Lookup Table) เช่น แทนที่ชื่อจริงด้วยชื่อปลอมที่ดูเป็นธรรมชาติ ให้ความปลอดภัยที่ดีและใช้ได้กับข้อมูลหลายประเภท
  • การสลับตำแหน่ง (Shuffling) โดยจะสลับค่าภายในคอลัมน์เดียวกันแบบสุ่ม เช่น สลับนามสกุลของลูกค้าทั้งหมดในคอลัมน์ ทำให้ข้อมูลยังคงรักษาความหลากหลายและสถิติเดิมไว้ แต่ไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
  • การปกปิดบางส่วน (Partial Masking) เป็นการเปิดเผยเพียงส่วนหนึ่งของข้อมูล และปกปิดส่วนที่เหลือด้วยอักขระพิเศษ เช่น X หรือ * มักใช้กับหมายเลขบัตรเครดิตที่ต้องการให้เห็นแค่ 4 หลักสุดท้าย ตัวอย่างเช่น xxxx xxxx xxxx 1234 เป็นต้นนั่นเอง
  • การสับเปลี่ยนอักขระ (Scrambling) สับเปลี่ยนตัวอักษรและตัวเลขแบบสุ่มเพื่อปิดบังเนื้อหาเดิม ตัวอย่างเช่น หมายเลขตั๋วร้องเรียนของลูกค้าคือ 3429871 เมื่อนำไปใช้จริง อาจให้เห็นเป็น 8840162 แต่ว่าข้อมูลที่ถูกปกปิดด้วยวิธีนี้ จะมีความปลอดภัยน้อยกว่าเทคนิคอื่น ๆ นะคะ ต้องระวังมาก ๆ เลย
  • การปรับเปลี่ยนข้อมูล (Variance) เป็นเทคนิคที่ใช้ในการปกปิดข้อมูลที่เป็นความลับ เช่น ตัวเลขทางการเงิน มูลค่าการทำธุรกรรม หรือข้อมูลวันที่ โดยจะเปลี่ยนค่าจริงในแต่ละรายการด้วยการเพิ่มหรือลบด้วยเปอร์เซ็นต์สุ่มของมูลค่านั้น เช่น บวกหรือลบ 5% จากเงินเดือนจริง วิธีนี้ช่วยให้สามารถใช้ชุดข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ได้โดยที่ยังไม่เปิดเผยมูลค่าที่แท้จริง  ซึ่งมีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ภาพรวมโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลละเอียดอ่อนเลย
  • การทำให้เป็นค่าว่าง (Nullifying) ก็คือการที่เราเปลี่ยนข้อมูลจริง ๆ ที่อยู่ในช่องนั้นให้กลายเป็น “ว่างเปล่า” (null) ไปเลย เป็นวิธีที่ง่ายและเร็วในการลบข้อมูลออกไปจากสายตา แต่ปัญหาคือเมื่อช่องไหนถูกทำให้ว่างเปล่าแล้ว เราจะ ไม่สามารถใช้ข้อมูลในช่องนั้นในการค้นหาหรือวิเคราะห์อะไรได้อีกเลย ทำให้ชุดข้อมูลของเรามีคุณภาพและความสมบูรณ์ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะเวลาที่เรานำไปใช้ในการพัฒนาหรือทดสอบระบบค่ะ

 

การใช้ Data Masking ให้เหมาะสมกับงาน

Data Masking หรือการปิดบังข้อมูล ถูกนำไปใช้ในหลายวงการธุรกิจเพื่อช่วยปรับปรุงและพัฒนาบริการให้ดีขึ้น เหตุผลหลักที่ต้องใช้ก็คือเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล และการปกป้องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเรานั่นเอง เรามาดูตัวอย่างการใช้งานจริงที่เห็นภาพชัดเจนกันเลยค่ะ 

1. ป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล

แน่นอนว่า ข้อนี้คือด่านหน้าสุดเลย สมมติว่ามีแฮกเกอร์ เจาะระบบของเราเข้ามาได้สำเร็จ แต่ถ้าข้อมูลนั้นถูก Data Masking หรือปกปิดเอาไว้แล้ว แฮกเกอร์ก็จะไม่รู้ว่า “ชื่อ ก.ไก่” ที่เห็นในฐานข้อมูลนั้นคือใครในชีวิตจริง เพราะมันถูกปลอมแปลงไปหมดแล้ว ข้อมูลนั้นก็เลยเอาไปใช้ประโยชน์ต่อไม่ได้ นี่แหละคือการป้องกันที่ดีที่สุด ข้อมูลจะไม่รั่วไหลออกไปแน่นอน 

2. ออกแบบระบบให้ใส่ใจความเป็นส่วนตัวตั้งแต่แรก

เราจะใช้ Data Masking ตั้งแต่ตอนเริ่มวางแผนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการเลย พอทำแบบนี้ มันจะช่วยให้เราแชร์ข้อมูลไปให้แผนกอื่น หรือแม้แต่บริษัทข้างนอกดูได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำผิดกฎหมาย เพราะข้อมูลที่แชร์ออกไปนั้นไม่ใช่ข้อมูลจริงของลูกค้า แต่เป็นข้อมูลที่ถูกปิดบังไว้แล้วนั่นเอง 

3. ให้สิทธิ์เข้าถึงตามหน้าที่เท่านั้น

แน่นอนว่าพนักงานแต่ละคนก็มีหน้าที่และส่วนที่รับผิดชอบแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น พนักงานคนหนึ่งอาจจะต้องรู้แค่ว่าลูกค้าสั่งอะไร แต่ไม่จำเป็นต้องเห็นเลขบัตรเครดิตของลูกค้า การทำ Data Masking ก็จะเข้ามาช่วยตรงนี้แหละค่ะ มันจะทำให้ พนักงานเห็นแค่ข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานเท่านั้น ข้อมูลสำคัญที่นอกเหนือจากหน้าที่ก็จะถูกปิดเอาไว้ไม่ให้เห็น  

4. ได้ข้อมูลสำหรับวางแผนและพัฒนาที่ปลอดภัยและรวดเร็ว

เวลาจะทดสอบระบบใหม่ ๆ เราต้องใช้ข้อมูล ซึ่งปกติเราก็ต้องไปนั่งทำข้อมูลตัวอย่างขึ้นมาเอง ทำให้ขั้นตอนตรงนี้เกิดความล้าช้า แต่ถ้าใช้ Data Masking เราสามารถเอาข้อมูลจริงมาปิดบัง แล้วนำมาใช้ทดสอบได้เลย ข้อมูลที่ถูกปิดบังแล้วมัน ยังคงมีคุณภาพดีพอ ที่จะใช้ทดสอบระบบได้ โดยที่ข้อมูลจริงที่เป็นความลับของลูกค้าก็ยังคงปลอดภัย 100% จะไม่หลุดออกไปนอกระบบแน่นอน  

 

Data Masking ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่ต้องทำ

การที่ธุรกิจทำ Data Masking คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรขององค์กรด้วย และเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบในยุคที่ต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลแบบนี้ การใช้เครื่องมือนี้ทำให้ธุรกิจของคุณใช้ข้อมูลได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกังวลจากการรั่วไหลของข้อมูลที่ไม่ได้ตั้งใจ พร้อมกับการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA และมาตรฐานระดับโลกอื่น ๆ ได้อย่างมั่นใจ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาวิธีการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ อย่ารอช้าที่จะพิจารณาและนำ Data Masking มาใช้ในองค์กรของคุณวันนี้ เพื่อความมั่นคงในอนาคต ติดต่อทีมงาน Chatcone เพื่อรับคำปรึกษาฟรี แอดไลน์ https://url.in.th/WSwnN ได้เลย  

Related Articles